IGCSE คืออะไร Cover

IGCSE คืออะไร? เข้าคณะอะไรได้บ้าง?

สวัสดีค่ะวันนี้พี่จะพาน้อง ๆ มารู้จักหลักสูตรการเรียนระดับมัธยมของสหราชอาณาจักรที่เป็นที่ยอมรับและโด่งดังในระดับสากลอย่าง IGCSE หรือ International General Certificate of Secondary Education ซึ่งสร้างและดูแลโดย Cambridge ระบบการเรียนนี้ก็ยังเป็นระบบที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในโรงเรียนนานาชาติ หลักสูตรอังกฤษ หลาย ๆ แห่งในประเทศไทยด้วยค่ะ แต่ไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นเด็กในโรงเรียนนานาชาติเท่านั้นที่สอบ IGCSE ได้นะคะ น้อง ๆ ทุกคนก็สามารถขอสอบ IGCSE ได้เช่นกัน 

ใน Blog นี้พี่จะมาอธิบายรายละเอียดแบบเจาะลึกทุกประเด็นที่น้อง ๆ ควรรู้เกี่ยวกับการสอบ IGCSE กันค่ะว่า IGCSE คืออะไร เริ่มสอบได้ตั้งแต่อายุเท่าไหร่ สามารถนำไปเทียบกับวุฒิอะไรในไทยได้บ้าง รวมถึงมีคณะและมหาวิทยาลัยไหนบ้างที่รับวุฒิ IGCSE ค่ะ

การสอบ IGCSE คืออะไร ?

IGCSE คืออะไร

IGCSE หรือ International General Certificate of Secondary Education เป็นการสอบเทียบวุฒิมัธยมศึกษาตอนปลายของอังกฤษ ซึ่งการสอบ IGCSE นั้นจะอยู่ในระบบการศึกษาของโรงเรียนนานาชาติที่ใช้ระบบการเรียนการสอนแบบอังกฤษโดยเทียบเท่าได้กับวุฒิการศึกษามัธยมศึกษาปีที่ 4 ของไทยและได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ (เทียบเท่ามาตรฐานของ GCE Ordinary และ British GCSE) โดยการสอบ IGCSE นั้นน้อง ๆ สามารถเลือกสอบได้ตามความถนัด โดยอาจเป็นข้อสอบแบบเขียนตอบหรือสอบปฏิบัติในบางวิชาและแน่นอนว่าน้อง ๆ จะต้องทำข้อสอบเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด เมื่อน้อง ๆ สอบ IGCSE ผ่านแล้วก็สามารถศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นได้อย่าง AS , A-Level หรือ IB เพื่อนำผลสอบไปเทียบวุฒิมัธยมศึกษาปีที่ 6 ตามที่กระทรวงศึกษาธิการรับรอง และนำไปยื่นเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยทั้งในไทยและต่างประเทศต่อไปได้

การสอบ IGCSE ดียังไง ?

ผลสอบ IGCSE เป็นผลการสอบที่ได้รับการยอมรับระดับสากล สามารถใช้ยื่นเข้าศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยในประเทศที่รองรับระบบการศึกษาหลักสูตรแบบอังกฤษได้ทั่วโลก ที่สำคัญคือนอกจากวิชาบังคับ 2 วิชา น้อง ๆ จะมีโอกาสในการเลือกสอบในวิชาที่ตัวเองถนัดได้อย่างน้อย 3 วิชาอีกด้วย 

  • จัดสอบและรับรองมาตรฐานโดย Cambridge
  • เป็นการปูพื้นฐานเพื่อนำไปสอบในระดับที่ยากขึ้นได้
  • สามารถใช้วุฒิ IGCSE เพื่อสอบ AS, A-LEVEL หรือ IB ได้
  • ได้เลือกวิชาสอบที่ตัวเองถนัด
  • ได้รับการยอมรับในระดับสากล

ทำไมต้องสอบ IGCSE

การสอบ IGCSE มีประโยชน์มากมายค่ะ อย่างแรกเลย มันช่วยเตรียมความพร้อมให้น้อง ๆ สำหรับการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น โดยเฉพาะหลักสูตรนานาชาติอย่าง A-Levels หรือ IB Diploma นอกจากนี้ ผลสอบ IGCSE ยังเป็นที่ยอมรับในการสมัครเข้ามหาวิทยาลัยหลายแห่งทั่วโลกด้วยนะคะ

ที่สำคัญ การเตรียมตัวสอบ IGCSE จะช่วยพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และความรู้รอบตัวของน้อง ๆ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นมากในการเรียนและการทำงานในอนาคตค่ะ

IGCSE เหมาะกับใคร

IGCSE เหมาะสำหรับน้อง ๆ หลายกลุ่มเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น 

  • นักเรียนที่กำลังศึกษาในโรงเรียนนานาชาติ หรือโรงเรียนที่ใช้ระบบการศึกษาแบบประเทศอังกฤษ 
  • น้อง ๆ ที่มีแผนจะไปเรียนต่อต่างประเทศในอนาคต 
  • สำหรับน้อง ๆ ที่เรียนในโรงเรียนไทย หรือน้อง ๆ ที่เรียนในระบบ Home School ก็ลงสอบได้เหมือนกัน มันจะช่วยให้น้อง ๆ ได้ประเมินความรู้และทักษะของตัวเองเทียบกับมาตรฐานนานาชาติ
  • น้อง ๆ ที่ต้องการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษและความรู้รอบตัวในวิชาต่าง ๆ

IGCSE เข้าคณะอะไรได้บ้าง?

น้อง ๆ ที่ต้องการสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ทั้งมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชน หากสอบ IGCSE แล้ว จะต้องสอบ AS หรือ A-LEVEL เพิ่มอีก 3 วิชา แล้วจึงจะนำมายื่นสมัครเข้าเรียนต่อได้ หากเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐน้อง ๆ สามารถเข้าเรียนต่อหลักสูตรนานาชาติโดยไม่ต้องไปสอบข้อสอบอื่น ๆ อย่าง TGAT อีก ส่วนมหาวิทยาลัยเอกชนก็สามารถยื่นได้ทั้งหลักสูตรไทยและหลักสูตรนานาชาติ ตัวอย่างคณะจากมหาวิทยาลัยชั้นนำที่รับผลสอบ IGCSE อาทิ

การสอบ IGCSE ดียังไง
IGCSE ยื่นเข้ามหาลัยอะไร จุฬา

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (หลักสูตรนานาชาติ)

  • คณะบริหารธุรกิจ (BBA)
  • คณะวิศวกรรมศาสตร์ (ISE)
  • คณะอักษรศาสตร์ (BALAC)
  • สาขาการจัดการสื่อสาร (CommArts)
  • คณะเศรษฐศาสตร์ (EBA)
  • สาขาออกแบบนิเทศศิลป์ (CommDe)
  • สาขาการออกแบบสถาปัตยกรรม (INDA)
  • สาขาเคมีประยุกต์ (BSAC)
  • สาขาวิทยาศาสตร์จิตวิยา (JIPP) 

*บางคณะน้อง ๆ จะต้องสอบ SAT, CU-AAT, CU-TEP เพิ่ม

IGCSE ยื่นเข้ามหาลัยอะไร ธรรมศาสตร์

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (หลักสูตรนานาชาติ)

  • คณะรัฐศาสตร์ (BMIR)
  • คณะเศรษฐศาสตร์ (BE)
  • สาขานโยบายสังคมและการพัฒนา (SPD)
  • สาขาอังกฤษ-อเมริกันศึกษา (BAS)
  • สาขาภาษาอังกฤษเชิงธุรกิจ (BEC)
  • สาขาสื่อมวลชนศึกษา (BJM)
  • สาขานวัตกรรมการบริการ (MSI)
  • สาขากฎหมายธุรกิจ (LL.B.)
  • คณะบริหารธุรกิจ (BBA)
  • สาขาการออกแบบเชิงนวัตกรรมดิจิทัล (IDD)
  • สาขาเทคโนโลยีดิจิทัลแนวสร้างสรรค์ (CDT)
  • สาขาวิทยาศาสตร์อุตสาหการและการจัดการ (ISC)
  • สาขาการออกแบบพัฒนาชุมชนเมือง (UDDI)
  • วิทยาลัยโลกคดีศึกษาและผู้ประกอบการสังคม (GSSE)
  • เทคโนโลยีหัวใจและทรวงอก เทคโนโลยีทางคลินิก (CICM)
  • สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT)
  • คณะวิศวกรรมศาสตร์ (TEP,TEPPE)
IGCSE ยื่นเข้ามหาลัยอะไร มหิดล

วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล (หลักสูตรนานาชาติ)

  • คณะวิทยาศาสตร์ (B.Sc.)
  • คณะวิศวกรรมศาสตร์ (B.Eng.)
  • สาขาเทคโนโลยีสร้างสรรค์ (Creative Technology)
  • คณะบริหารธุรกิจ (MBA)
  • สาขาสื่อและการสื่อสาร (Media and Communication)
  • สาขาผู้ประกอบการด้านธุรกิจการเดินทางและธุรกิจบริการ (THM)
IGCSE ยื่นเข้ามหาลัยอะไร อื่นๆ

วิทยาลัยกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ (ภายในประเทศ)

  • วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
  • วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยศิลปากร
  • มหาวิทยาลัยแสตมฟอร์ด
  • วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี
  • พระจอมเกล้าพระนครเหนือ
  • วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
  • วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยนเรศวร
  • วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยบูรพา
  • วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
  • วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
  • วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
  • วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
  • วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยศรีปทุม
  • วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
  • วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
  • วิทยาลัยนานาชาติ
  • มหาวิทยาลัยรังสิต
  • มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
IGCSE ยื่นเข้ามหาลัยอะไร ต่างประเทศ

มหาวิทยาลัย (ต่างประเทศ)

  • มหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม (University of Birmingham)
  • มหาวิทยาลัยบริสตอล (University of Bristol)
  • มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (University of Cambridge)
  • มหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ (Cardiff University)
  • มหาวิทยาลัยเดอรัม (University of Durham)
  • มหาวิทยาลัยเอดินบะระ (University of Edinburgh)
  • มหาวิทยาลัยเอ็กซิเตอร์ (University of Exeter)
  • มหาวิทยาลัยกลาสโกว์ (University of Glasgow)
  • อิมพีเรียลคอลเลจ ลอนดอน (Imperial College London)
  • ราชวิทยาลัยแห่งลอนดอน (King’s College London)
  • มหาวิทยาลัยนาโกยา (Nagoya University)
  • มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น (University of Melbourne)
  • มหาวิทยาลัยในเครือ Ivy League และ Ivy Plus

IGCSE Examination Board

IGCSE จะมี Examination Board 2 บอร์ด คือ CIE (Cambridge International Examinations) เป็นบอร์ดที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับของมหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักร และ Edexcel เป็นบอร์ดของ Pearson ซึ่งก็เป็นที่ยอมรับของมหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักรเช่นเดียวกัน ซึ่งการให้เกรดของทั้ง 2 บอร์ดจะแตกต่างกันออกไปเล็กน้อย Past Paper ของ IGCSE CIE จะมีเยอะกว่า Edexcel รวมถึงจำนวนของ Paper ที่ต้องสอบก็แตกต่างกันด้วยค่ะ ทั้งนี้ แม้ว่าจะมีรายละเอีดเล็ก ๆ ที่แตกต่างกัน แต่มาตรฐานของทั้ง 2 บอร์ดเป็นมาตรฐานสากลในระดับเดียวกัน หากโรงเรียนไม่บังคับ น้อง ๆ สามารถเลือกได้ว่าอยากสอบของบอร์ดไหน

IGCSE มีกี่ระดับ?

การสอบ IGCSE นั้นแบ่งความยากง่ายของข้อสอบ IGCSE อยู่ 2 ระดับ ได้แก่

  • ระดับพื้นฐาน (Core) การสอบจะมีจำนวนข้อน้อยกว่าและใช้เวลาสอบไม่มาก เกรดที่จะได้นั้นมีเฉพาะ C, D, E, F และ G
  • ระดับสูง (Extended) การสอบจะมีความยากมากขึ้น โดยเกรดที่จะได้ คือ A*, A, B, C, D, E หรือ U

IGCSE มีวิชาอะไรบ้าง?

iGCSE สอบวิชาอะไรบ้าง

การสอบ IGCSE น้อง ๆ จะต้องสอบทั้งหมด 5 วิชา โดยวิชาที่บังคับสอบ คือ คณิตศาสตร์ (Mathematics) และ ภาษาอังกฤษ (English as a second language) และเลือกสอบเพิ่มอีก 3 วิชาได้ตามความถนัดซึ่งมีให้เลือกสอบมากถึง 70 วิชา โดยแบ่งออกเป็น 6 กลุ่มวิชาหลัก ๆ ได้แก่

  • กลุ่มวิชาทักษะภาษาอังกฤษ (English Language and Literature)

ตัวอย่างวิชา

– English First Language

– English Literature

– English as an Additional Language

– English as a Second Language

  • กลุ่มวิชาภาษาศาสตร์ (Language)

ตัวอย่างวิชา

– Thai

– English (First or Second Language)

– Chinese

– Japanese

– Korean

– Arabic

– German

– French

  • กลุ่มวิชาคณิตศาสตร์ (Mathematics)

ตัวอย่างวิชา

– Mathematics

– Cambridge

– International Mathematics

– Additional Mathematics

  • กลุ่มวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (Humanities and Social Sciences)

ตัวอย่างวิชา

– Economics

– Geography

– History

– Business Studies

– Travel and Tourism

  • กลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์ (Sciences)

ตัวอย่างวิชา

– Agriculture

– Biology

– Chemistry

– Physics

– Environmental Management

  • กลุ่มวิชาทักษะวิชาชีพ (Creative and professional)

ตัวอย่างวิชา

– Accounting

– Art & Design

– Business Studies

– Music

– Travel & Tourism

* เวลาในการสอบขึ้นอยู่กับแต่ละรายวิชาที่น้อง ๆ เลือกสอบ

** ในบางวิชาจะมีการเปิดสอบ 2 ระดับ (Core และ Extended) เนื้อหาข้อสอบ IGCSE แบบ Core จะเป็นการสอบแบบวัดพื้นฐานความรู้แบบไม่เจาะลึก ส่วนข้อสอบ IGCSE แบบ Extended จะเป็นการสอบที่วัดความรู้เฉพาะแบบเจาะลึก

*** น้อง ๆ จะต้องสอบให้ผ่านอย่างน้อย 5 วิชา ด้วยเกรดไม่ต่ำกว่า C เพื่อผ่านหลักสูตร ซึ่งการให้คะแนนของแต่ละวิชาในการสอบ IGCSE นั้นเริ่มต้นที่เกรด A* ถึง G (A*, A, B, C, D, E, F, G) และ U (Ungraded)

ในกรณีที่เลือกสอบวิชาที่เปิดสอบ 2 ระดับ ระดับ Core จะเริ่มต้นที่เกรด C D E F G และระดับ Extended สามารถได้เกรดตั้งแต่ A*, A, B, C, D, E, F, G

เลือกสอบวิชา IGCSE อย่างไรดี

อันดับแรก น้อง ๆ ควรพิจารณาความสนใจและความถนัดของตัวเองก่อนเลยค่ะ เลือกวิชาที่ชอบและทำคะแนนได้ดีจะช่วยให้การเตรียมตัวสอบสนุกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ต่อมา ลองคิดถึงเป้าหมายในอนาคตด้วยนะคะ ถ้าน้อง ๆ มีแผนจะเรียนต่อสาขาใดเป็นพิเศษ ก็ควรเลือกวิชาที่เกี่ยวข้องกับสาขานั้น ๆ เช่น ถ้าอยากเรียนวิศวกรรม ก็ควรเลือกสอบคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ นอกจากนี้ พี่แนะนำให้น้อง ๆ ตรวจสอบข้อกำหนดของมหาวิทยาลัยหรือประเทศที่สนใจไปเรียนต่อด้วยค่ะ บางที่อาจมีวิชาบังคับที่ต้องสอบ IGCSE เพื่อใช้ในการสมัคร

สุดท้าย อย่าลืมคำนึงถึงจำนวนวิชาที่จะสอบด้วยนะคะ โดยทั่วไปแล้ว การสอบ 5-8 วิชาถือว่าเหมาะสม แต่ก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมของน้อง ๆ ด้วย อย่าหักโหมจนเกินไปนะคะ พี่เชื่อว่าถ้าน้อง ๆ พิจารณาปัจจัยเหล่านี้อย่างรอบคอบ ก็จะสามารถเลือกวิชาสอบ IGCSE ที่เหมาะกับตัวเองได้แน่นอนค่ะ

วิธีคิดคะแนน IGCSE (IGCSE Grading)

IGCSE คืออะไร

การจะได้วุฒิ IGCSE น้อง ๆ จะต้องสอบให้ผ่านอย่างน้อย 5 วิชา ด้วยเกรดไม่ต่ำกว่า C ซึ่งการให้คะแนนจะใช้ระบบการให้เกรด ซึ่งเริ่มต้นที่เกรด A* ถึง G (A*, A, B, C, D, E, F, G) และ U (Ungraded) โดยระดับ Core จะเริ่มต้นที่เกรด C D E F G และระดับ Extended สามารถได้เกรดตั้งแต่ A*, A, B, C, D, E, F, G ซึ่งการให้คะแนนจะแตกต่างกันค่ะ เช่น ในบางรายวิชาหากน้อง ๆ ตอบผิด แม้ว่าคำตอบจะสามารถเข้าใจได้หรือใกล้เคียงกับคำตอบที่ถูกต้องมาก ๆ แต่หากคำตอบไม่เป็นไปตามแนวที่ผู้จัดสอบกำหนด ก็จะทำให้ไม่มีคะแนนในข้อนั้น ๆ นั่นเอง

คะแนนของ IGCSE จะใช้ระบบการให้เกรด ซึ่งเริ่มต้นที่เกรด A* ถึง G (A*, A, B, C, D, E, F, G) และ U (Ungraded)

ในการสอบ IGCSE จะมี 2 ระดับ: ระดับ Core จะเริ่มต้นที่เกรด C D E F G  และระดับ Extended สามารถได้เกรดตั้งแต่ A*, A, B, C, D, E, F, G

การให้เกรดของ IGCSE ในแต่ละปีจะไม่เหมือนกัน เพราะว่าความยากง่ายของข้อสอบ IGCSE แตกต่างกันค่ะ และมีทั้งรูปแบบข้อสอบแบบเลือกข้อถูกเพียงข้อเดียว และรูปแบบข้อเขียน ในส่วนของข้อเขียนผู้ตรวจข้อสอบจะใช้สิ่งที่เรียกว่า Mark Scheme ในการให้คะแนน และจะนำคะแนนของน้อง ๆ ทุกคนที่ส่งคำตอบในปีนั้น ๆ มากำหนด Grade Boundaries ซึ่งตรงนี้นี่แหละ ที่ทำให้แต่ละปีจะมีคะแนนขั้นต่ำของแต่ละเกรดแตกต่างกันค่ะ เช่นในปีก่อน น้องที่สอบได้ 80% อาจจะได้เกรด A* แต่ปีที่แล้วน้องบางคนทำคะแนนได้ 80% อาจจะได้เกรด B 

สิ่งที่น้อง ๆ จะสามารถสังเกตได้เลยก็คือ น้องที่สอบคนละปีแม้ว่าจะได้เปอร์เซ็นของคะแนนเท่ากันแต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะได้เกรดเดียวกันนะ เพราะในปีก่อนข้อสอบ IGCSE อาจจะยากกว่าปีนี้คนที่ทำคะแนนได้ 80% จึงได้เกรด A* แต่ในปีที่แล้วข้อสอบอาจจะง่ายกว่าปีก่อน เพราะแม้ว่าจะทำคะแนนได้ 80% จึงไม่การันตีว่าจะได้เกรด A* นั่นเองค่ะ

อ่านมาถึงตรงนี้แล้วน้อง ๆ หลายคนอาจจะมีความกังวล แต่ไม่ต้องกลัวไปนะคะ เพราะไม่ว่าข้อสอบที่น้อง ๆ ต้องเจอ จะมีระดับความยากหรือง่ายแค่ไหน หากน้อง ๆ มีความเข้าใจในเนื้อหา ฝึกฝนทำโจทย์จนเชี่ยวชาญ และตอบให้ถูกต้องตาม Mark Scheme ก็สามารถคว้าเกรดสูง ๆ ได้แน่นอน 

สำหรับ Grade Boundaries Edexcel IGCSE รอบมกราคม 2023 น้อง ๆ สามารถเข้าไปดูได้ที่นี่เลยค่ะ  คลิก

วิธีการสมัครสอบ IGCSE

การสอบ IGCSE นอกจากสถาบันหรือโรงเรียนมีการจัดสอบขึ้นเองแล้ว น้อง ๆ สามารถสมัครสอบด้วยตนเองได้ ดังนี้

  • ลงทะเบียนสอบได้ที่ British Council หรือ Harrow International School โดยดาวน์โหลดและลงทะเบียนผ่านช่องทางออนไลน์
  • กรอกแบบฟอร์มลงทะเบียนและลงลายมือชื่อ จากนั้นให้น้อง ๆ พิมพ์แบบฟอร์มเก็บไว้เป็นสำเนาอีก 1 ชุด เพื่อใช้เป็นหลักฐาน
  • เตรียมเอกสารให้เรียบร้อย ได้แก่ รูปถ่ายสีขนาด 2 นิ้วที่ถ่ายไว้ไม่เกิน 3 เดือน และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหรือหนังสือเดินทาง
  • ชำระเงินเต็มจำนวนด้วยการโอนเงินผ่านธนาคารและส่งหลักฐานการโอนผ่านอีเมล หรือชำระด้วยตนเองได้ที่ศูนย์สมัครสอบด้วยบัตรเดบิตหรือบัตรเครดิต (VISA/Master Card) โดยมีอัตราค่าธรรมเนียมตามที่ระบุไว้ในแบบฟอร์มลงทะเบียน

IGCSE สอบที่ไหน?

สำหรับสถานที่ในการรับสมัคร และสนามสอบ IGCSE ในประเทศไทย น้อง ๆ สามารถเลือกสมัครและเข้าสอบได้ตามสถานที่ดังนี้

  • สมัครและสอบที่โรงเรียนนานาชาติระบบอังกฤษที่น้อง ๆ ศึกษาอยู่ที่เป็นศูนย์สอบ IGCSE
  • สมัครและสอบที่ Harrow International School
  • สมัครและสอบที่ Singapore International School of Bangkok

สมัครและสอบที่ บริติช เคาน์ซิล ประเทศไทย สาขาสยามแสควร์ (รออัปเดตสนามสอบกับสถาบันโดยตรง) น้อง ๆ สามารถสมัครด้วยตนเองได้ที่ บริติช เคาน์ซิล สาขาสยามแสควร์ (จันทร์ – เสาร์ เวลา 09.00-18.00 น.) หรือสามารถเข้าไปศึกษารายละเอียดการสมัครสอบ IGCSE กับบริติช เคาร์ซิล ประเทศไทยได้ที่ คลิก

ตารางสอบ IGCSE ปี 2024

การสอบ IGCSE จะถูกจัดขึ้นปีละ 2 ครั้งในเดือน พฤษภาคม-มิถุนายน และตุลาคม-พฤศจิกายน และผลการสอบจะออกในช่วงเดือน สิงหาคม และมกราคมของทุกปี

รอบสอบตุลาคม-พฤศจิกายน 2024 เปิดรับสมัครแล้วตามช่วงเวลาดังนี้

  • สมัครสอบช่วงปกติ 9 กรกฎาคม ถึง 9 สิงหาคม 2024 (17.00 น.)
  • สมัครสอบช่วงล่าช้า 10 สิงหาคม ถึง 14 กันยายน 2024 (17.00 น.)
  • วันสอบ : วันสอบแตกต่างกันในแต่ละวิชา น้อง ๆ สามารถดูตารางสอบเพิ่มเติม ที่นี่
  • วันที่ประกาศผลสอบ : ช่วงกลางเดือน มกราคม 2025
  • รับใบประกาศนียบัตร : ช่วงปลายเดือน กุมภาพันธ์ 2025

คุณสมบัติในการสมัครสอบ IGCSE ?

IGCSE คืออะไร

การสอบ IGCSE ไม่ได้มีการกำหนดอายุขั้นต่ำในการสอบค่ะ แต่ทาง Cambridge แนะนำว่าน้อง ๆ ที่จะสอบ IGCSE ควรมีช่วงอายุระหว่าง 14-16 ปีขึ้นไป ไม่ว่าน้อง ๆ จะกำลังศึกษาอยู่ในระดับไหน หรือระบบการเรียนไหนก็ตาม เช่น การเรียนระบบอเมริกัน การเรียนระบบ Home School หรือการเรียนระบบมัธยม สามารถสมัครเพื่อขอสอบ IGCSE ได้

สอบ IGCSE กี่บาท?

ค่าสมัครสอบ IGCSE จะขึ้นอยู่กับแต่ละรายวิชา ราคา 5,400-8,400 บาทต่อวิชา ซึ่งหากน้อง ๆ จ่ายไม่ทัน จะต้องลงทะเบียนล่าช้า ซึ่งจะมีค่าลงทะเบียน IGCSE ล่าช้าอยู่ที่ประมาณ 3,100 บาทต่อหนึ่งวิชา

วิธีตรวจผลสอบ IGCSE (IGCSE Results)

โดยปกติแล้ว น้อง ๆ จะสามารถทราบผลสอบได้ภายใน 2 เดือนหลังจากวันสอบ โดยน้อง ๆ สามารถเข้าไปดูได้ผ่านระบบออนไลน์ของศูนย์สอบแต่ละแห่ง และใบรับรองผลสอบจะถูกจัดส่งไปตามที่อยู่ที่น้อง ๆ ได้ระบุไว้ตอนลงทะเบียนสอบภายใน 16-18 สัปดาห์ค่ะ หากน้อง ๆ เลือกสอบที่ British Council สามารถดูผลสอบได้ที่นี่เลย คลิก

สอบ IGCSE ไม่ผ่าน ต้องทำอย่างไร

สามารถลงสอบวิชาที่ไม่ผ่านได้ใหม่ในรอบถัดไป หรือจะเปลี่ยนวิชาสอบเลยก็ได้ค่ะ ขึ้นอยู่กับน้อง ๆ เลย

การเทียบวุฒิ IGCSE (กับทางกระทรวงศึกษาธิการของประเทศไทย)

จาก ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการปรับปรุงระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการสอบเทียบวุฒิการศึกษาในประเทศและต่างประเทศระดับการศึกษาพื้นฐาน พ.ศ.2565 ได้มีการประกาศเกณฑ์การเทียบวุฒิการศึกษาเท่ากับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ในระบบการคัดเลือกกลางบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาประจำปี 2565 ดังนี้

ระบบอังกฤษ ผู้สมัครเข้าศึกษาต่อมีผลการสอบระดับ GCE ‘A’ Level (General Certificate of Education Advanced Level) จำนวนอย่างน้อย 3 วิชา เกรด A*-E หรือผลการสอบ Cambridge Pre-U จำนวนอย่างน้อย 3 วิชา เกรด M1 หรือ D1-D3

*เกณฑ์การเทียบวุฒิการศึกษาเท่ากับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ในระบบคัดเลือกกลางบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา ประจำปีการศึกษา 2565 ไม่ใช่เกณฑ์การคัดเลือกเข้าศึกษาต่อของมหาวิทยาลัย แต่ละมหาวิทยาลัยอาจกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำสูงขึ้น น้อง ๆ จึงต้องศึกษาว่าแต่ละคณะและมหาวิทยาลัยที่น้อง ๆ ต้องการยื่นคะแนนเข้าศึกษาต่อใช้เกณฑ์ขั้นต่ำเท่าไหร่ ซึ่งก็จะแตกต่างกันออกไปนั่นเองค่ะ

IGCSE กับ GCSE ต่างกันยังไง?

การสอบ IGCSE นั้นเป็นหลักสูตรพื้นฐานสำหรับต่อยอดไปสู่ระดับ A-Level เทียบเท่าได้กับ การสอบ GCSE แต่ IGCSE นั้นจะเปิดสอนในระดับนานาชาติ ต่างจากการสอบ GCSE ที่เปิดสอนเฉพาะในสหราชอาณาจักร (UK) เท่านั้น GCSE มีวิชาบังคับสำหรับนักเรียนที่เป็น Native ที่มากกว่าการสอบ IGCSE ดังนั้นหลักสูตรของ IGCSE จึงมีความหลากหลายสำหรับนักเรียนประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก มากกว่า แต่มีมาตรฐานและวิชาสอบเช่นเดียวกันกับ GCSE

IGCSE กับ GED ต่างกันยังไง?

การสอบ IGCSE และ GED เป็นการสอบเทียบเพื่อให้ได้มาซึ่งวุฒิมัธยมศึกษาตอนปลายเช่นเดียวกัน แต่อย่างที่ทราบกันว่า การสอบ GED (General Educational Development) เป็นหลักสูตรของประเทศอเมริกาที่จะได้รับประกาศนียบัตรหรือวุฒิการศึกษาระดับ ม.6 โดยสามารนำไปใช้สมัครเรียนในระดับมหาวิทยาลัยได้ ทั้งมหาวิทยาลัยภาครัฐ เอกชน รวมถึงมหาวิทยาลัยในต่างประเทศด้วย 

ส่วนระบบการสอบแบบ IGCSE นั้นจะเป็นการสอบเทียบเท่าในระดับ ม.4 ด้วยหลักสูตรของประเทศอังกฤษ เพื่อนำไปต่อยอดสอบเทียบในระดับ A-Level หรือ ม.6 ซึ่งหมายความว่าหลังจากที่สอบ IGCSE ผ่านแล้ว น้อง ๆ จะต้องสอบระดับ A-Level ให้ผ่านด้วย จึงจะได้รับวุฒิเทียบเท่าม.6 และสามารถใช้ยื่นเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยทั้งในไทยและต่างประเทศได้ 

โดยจุดเด่นของการสอบ IGCSE คือสามารถเลือกวิชาเรียนได้ตามความสนใจและเป็นเนื้อหาเชิงลึกคล้ายกับการเรียนการสอนของชั้นปีที่ 1 ในระดับมหาวิทยาลัย ส่วนการสอบ GED จะเน้นการคิดวิเคราะห์ การอ่าน และการตีความหรือการให้เหตุผลตามเนื้อหาสอบที่กำหนด จึงขึ้นอยู่กับว่าน้อง ๆ มีความถนัดแบบไหนและวางแผนการศึกษาต่อของตนเองอย่างไรในอนาคตนั่นเองค่ะ

IGCSE กับ AS & A-LEVEL ต่างกันยังไง?

หลักสูตรของ IGCSE กับ AS & A-Level นั้นต่างเป็นหลักสูตรของ Cambridge Assessment International Education เช่นเดียวกัน ซึ่ง IGCSE เป็นหลักสูตรพื้นฐานเพื่อต่อยอดไปสู่ AS & A-Level เพื่อเทียบวุฒิมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยหลักสูตร IGCSE จะใช้ระยะเวลาเรียน 2 ปี ซึ่งน้อง ๆ สามารถเลือกวิชาเรียนได้กว่า 70 วิชา และผลคะแนนสอบจะใช้เกณฑ์มาตรฐานสากลตั้งแต่เกรด A* จนถึงเกรด G

ส่วนการสอบ AS & A-Level นั้นจะมีเนื้อหาวิชาที่ลึกมากขึ้นและใช้ทักษะความคิดเชิงตรรกะร่วมด้วย ซึ่งหลักสูตรนี้ใช้ระยะเวลาเรียน 2 ปีเช่นกัน
โดยแบ่งออกเป็น

  • ปีที่ 1 เรียกว่า AS Level หรือ Year 12 (เทียบเท่า ม.5)
  • ปีที่ 2 เรียกว่า A2 Level หรือ Year 13 (เทียบเท่า ม.6)

โดยหลักสูตร AS & A-Level มีวิชาให้เลือกเรียนทั้งหมดประมาณ 66 วิชา แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มวิชาเช่นเดียวกับ IGCSE และผู้เรียนจะต้องเลือกเรียน 3 – 4 วิชาต่อปี โดยผลคะแนนจะใช้เกณฑ์มาตรฐานสากลตั้งแต่เกรด A* จนถึงเกรด E ซึ่งหากน้อง ๆ ต้องการเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยจึงต้องสอบให้ผ่านทั้ง IGCSE และ AS & A-Level

IGCSE กับ IB ต่างกันยังไง?

หลักสูตร IB (International Baccalaureate Programme) เป็นการเรียนการสอนที่แพร่หลายกว่า 156 ประเทศ โดยมีจุดประสงค์เพื่อรองรับนักเรียนนักศึกษาที่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนสถานที่เรียนจากอีกที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งอยู่บ่อยครั้ง จึงต้องมีหลักสูตรที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลกนั่นเอง ดังนั้นหลักสูตร IB จึงมีเนื้อหาที่หลากหลาย โดยแบ่งได้เป็น 3 ระดับ ดังนี้

  1. Primary Years
  2. Programme หรือ PYP (ช่วง 3-12 ปี)
  3. Middle Years Programme หรือ MYP (ช่วง 11-16 ปี)
  4. Diploma Programme หรือ IBDP (ช่วง 16-19 ปี) ซึ่งเป็นหลักสูตรระดับเดียวกันกับ A- Level และแบ่งออกเป็น 6 กลุ่มวิชา ได้แก่ ภาษาและวรรณกรรม ทักษะการใช้ภาษา ปัจเจกและสังคม วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศิลปะ นอกจากนี้ยังต้องสอบให้ผ่านอีก 3 วิชาหลัก ได้แก่
    • Theory of Knowledge (ToK) การฝึกคิดวิเคราะห์เชิงวิพากษ์เกี่ยวกับมนุษย์และสังคม วัฒนธรรมของตนเองและโลก
    • Creativity, Action, Service (CAS) โครงงานกิจกรรมนอกโรงเรียนที่เน้นความคิดสร้างสรรค์ จิตอาสา กิจกรรมเพื่อสังคม
    • Extended Essay (EE) การเขียนเรียงความในหัวข้อที่ตนเองสนใจ

ดังนั้นหลักสูตร IB จึงสามารถนำไปยื่นเข้าสมัครเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้เช่นเดียวกับการระบบสอบ IGCSE แต่จะเน้นไปที่มหาวิทยาลัยในต่างประเทศและมหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักร จึงเหมาะสำหรับผู้ที่เรียนในระบบ IB Full ตั้งแต่ปฐมวัยจนถึงมัธยมมาแล้ว ต่างกับระบบสอบ IGCSE ที่จะเป็นหลักสูตรของโรงเรียนนานาชาติ รวมถึงน้อง ๆ ที่สนใจก็สามารถเลือกสอบ IGCSE เป็นรายวิชาได้ไม่จำกัด

คอร์สเตรียมความพร้อมสอบ IGCSE ที่ The Advisor Academy !

หากน้อง ๆ นักเรียนที่มีอายุ 14-16 ปี อยากสอบ IGCSE ให้ผ่านฉลุย มาเตรียมลุยข้อสอบ IGCSE กับ The Advisor Academy หนึ่งในสถาบันเตรียมสอบหลักสูตรนานาชาติ (Test Preparation Center) ชั้นนำในประเทศไทยที่มีหลักสูตรติว IGCSE ทั้งแบบส่วนตัว แบบคู่ และแบบกลุ่ม โดยในคอร์สติว IGCSE จะมีการประเมินพื้นฐานภาษาอังกฤษก่อนเรียน พร้อมวางแผนเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยเป็นรายบุคคลให้อย่างละเอียด เข้าเรียนสดผ่านระบบ Zoom จำนวน 100 ชั่วโมงเต็ม พร้อมไฟล์บันทึกการสอนเพื่อทบทวนย้อนหลัง รวมทั้งมีการทดสอบ IGCSE กับครูผู้สอนก่อนลงสู่สนามสอบจริงอีกด้วย

หากน้องๆ สนใจคอร์สติวสอบ IGCSE ของ The Advisor Academy สามารถดูรายละเอียดได้ที่ https://theadvisoracademy.com/igcsecourse/