BMAT คืออะไร? ใช้ยื่นอะไรได้บ้าง
อยากติดหมอรอบแรก ห้ามพลาดบทความนี้! วันนี้พี่ ๆ ขอเอาใจว่าที่คุณหมอทุกคน ด้วยการพาไปทำความรู้จักกับ BMAT ข้อสอบเฉพาะทางสำหรับคนที่อยากเรียนต่อคณะแพทยศาสตร์ ใครอยากเรียนหมอแต่ยังสงสัยว่า BMAT คืออะไร จำเป็นต้องสอบไหม BMAT สอบอะไรบ้าง ไขข้อสงสัยไปพร้อม ๆ กันในบทความนี้ค่ะ
อัปเดตล่าสุด! Cambridge Assessment Admission Test ได้มีประกาศออกมาว่าจะไม่มีการจัดสอบ BMAT ตั้งแต่ปี 2024 หรือปี 2567 เป็นต้นไป จุฬาฯ จึงได้เปลี่ยนไปใช้ข้อสอบ TBAT แทน BMAT สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าศึกษาต่อหลักสูตรนานาชาติ คณะแพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ เภสัชศาสตร์ สัตวแพทยศาสตร์ และสหเวชศาสตร์
BMAT คืออะไร?
BioMedical Admissions Test หรือที่เรียกกันว่า BMAT คือ ข้อสอบเฉพาะทางสำหรับใช้เข้าศึกษาคณะแพทยศาสตร์ วิทยาศาสตร์การแพทย์ ทันตแพทยศาสตร์ หรือสาขาที่เกี่ยวข้อง จัดสอบโดย Cambridge Assessment ปัจจุบันมหาวิทยาลัยในไทยก็ได้เปิดรับนักศึกษาแพทย์โดยใช้คะแนน BMAT มากขึ้น เช่น แพทย์จุฬาฯ แพทย์ธรรมศาสตร์ แพทย์ลาดกระบัง แพทย์ขอนแก่น ทันตะฯ ธรรมศาสตร์ เป็นต้น
จำเป็นต้องสอบ BMAT ไหม?
BMAT ใช้ยื่นเข้าคณะแพทย์ ระบบ TCAS รอบที่ 1 หรือรอบ Portfolio ดังนั้นน้อง ๆ คนไหนอยากสอบติดแพทย์ตั้งแต่รอบแรก ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ภาคไทยหรือภาคอินเตอร์ จำเป็นต้องสอบ BMAT ค่ะ
BMAT สอบอะไรบ้าง?
ข้อสอบ BMAT ประกอบด้วย 3 พาร์ท ได้แก่
1. Aptitude and Skills
เป็นข้อสอบปรนัย 32 ข้อ ใช้เวลา 60 นาที โดยคำถามจะแบ่งออกเป็น 2 พาร์ทหลัก ๆ คือ
- Problem solving การแก้โจทย์โดยใช้ทักษะคณิตศาสตร์ มีทั้งแบบคิดเลขและไม่คิดเลข
- Critical thinking การใช้ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์เพื่อหาคำตอบ โดยโจทย์มักจะให้ข้อมูลมา แล้วให้เลือกชอยส์สนับสนุน (Strengthen) หรือหักล้าง (Weaken) ข้อมูลดังกล่าว หรืออาจจะถามในแบบอื่น ๆ เช่น ถามหาสรุป (Conclusion), หาจุดบกพร่อง (Flaw) เป็นต้น
ข้อสอบพาร์ทนี้น้อง ๆ ส่วนใหญ่มักบอกว่ายาก ทำไม่ทัน โดยพาร์ท Critical thinking เพราะข้อสอบค่อนข้างยาว ต้องอ่านวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อตอบคำถามภายใต้ความกดดันของเวลา พี่แนะนำให้น้อง ๆ เลี่ยงไปทำ Problem solving ก่อน เพราะเป็นโจทย์เชาวน์ปัญญา ซึ่งค่อนข้างง่ายกว่าค่ะ
2. Scientific Knowledge and Applications
ข้อสอบปรนัย 27 ข้อ ใช้เวลา 30 นาที เป็นส่วนที่วัดความสามารถในการประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ โดยเนื้อหาที่ออกสอบจะครอบคลุมทั้งฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา และคณิตศาสตร์ประมาณชั้นม.4 น้อง ๆ ที่เรียนสายวิทย์มาบอกเลยว่าสบาย เพราะระดับความยากง่ายใกล้เคียงกับ IGCSE และ GCSE ถ้าใครแม่นเนื้อหาแนะนำให้เก็บคะแนนที่พาร์ทนี้ได้เลยค่ะ
3. Writing Task
ข้อสอบวัดระดับภาษาอังกฤษและความสามารถในการจัดการความคิดและสื่อสารด้วยการเขียน น้อง ๆ ต้องเลือกเขียนตอบคำถาม 1 ข้อ จาก 3 ข้อที่ข้อสอบให้มา โดยเขียนในรูปแบบ Essay ภายในเวลา 30 นาที ซึ่งคำถามจะเกี่ยวกับกฎหมาย สังคมศาสตร์ ปรัชญา หรือจรรยาบรรณทางการแพทย์
การคิดคะแนน BMAT
พาร์ทที่ 1 และ 2 มีคะแนนเต็ม 9.0
พาร์ทที่ 3 มีผู้ตรวจ 2 คน แบ่งคะแนนเป็น 2 ส่วน คือ
1. คะแนนคุณภาพของเนื้อหา (1-5 คะแนน)
-
- 1 คะแนน หมายถึง เขียนด้วยเนื้อหาที่พอรับได้ แต่ยังตอบไม่ตรงประเด็น
- 2 คะแนน หมายถึง เขียนค่อนข้างตรงประเด็น แต่มีบางคำหรือบางจุดไม่ชัดเจน
- 3 คะแนน หมายถึง เขียนตอบตรงกับทุกมุมมองคำถาม สมเหตุสมผล แต่อาจพลาดเรื่องการเชื่อมโยงความคิด
- 4 คะแนน หมายถึง เขียนตรงประเด็น สร้างข้อโต้แย้งได้ดี เรียบเรียงเนื้อหาได้ดี มีข้อบกพร่องน้อย
- 5 คะแนน หมายถึง ไม่มีข้อบกพร่อง เนื้อหาตรงประเด็นชัดเจน เชื่อมโยงความคิดและข้อโต้แย้งอย่างมีเหตุผล สรุปเนื้อหาได้ดี
2. คะแนนด้านการใช้ภาษาอังกฤษ (A, C, E)
-
- BandA คือ ใช้ภาษาอังกฤษได้ดี โครงสร้างประโยคดี ไวยากรณ์ถูกต้อง สะกดคำถูกต้อง
- BandC คือ ใช้ภาษาอังกฤษระดับพอใช้ โครงสร้างประโยคง่าย ๆ ใช้ศัพท์ระดับกลาง ไม่ยากหรือง่ายเกินไป ไวยากรณ์เหมาะสม โดยรวมมีข้อผิดพลาดอยู่บ้าง
- BandE คือ ใช้ภาษาอังกฤษค่อนข้างอ่อน อ่านยาก ต้องอ่านหลายรอบถึงเข้าใจ ใช้ศัพท์ง่าย ๆ ไวยากรณ์ไม่ถูกต้อง สะกดคำผิด มีข้อผิดพลาดที่เห็นได้ชัดเจน
ค่าสอบ BMAT กี่บาท?
ค่าสอบ BMAT 2023 อยู่ที่ 9,500 บาท
คะแนน BMAT เก็บได้กี่ปี?
คะแนน BMAT สามารถเก็บไว้ใช้ได้ถึง 2 ปีเลยค่ะ นั่นหมายความว่า น้อง ๆ สามารถเริ่มสอบได้ตั้งแต่ม.4-ม.5 เพื่อลองดูข้อสอบก่อน ถ้าไม่พอใจคะแนนที่ได้ ก็สามารถสอบแก้ตัวได้ แต่ถ้าพอใจแล้วก็เก็บไว้ยื่นรอบ Portfolio ได้เลย
สอบ BMAT ได้กี่รอบ?
BMAT จัดสอบปีละ 1 รอบ ทำให้น้อง ๆ สามารถสอบได้แค่ปีละ 1 รอบเท่านั้น (เดิมการสอบ BMAT จะจัดสอบประมาณ 2 รอบต่อปี แต่ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา เหลือสอบปีละ 1 รอบค่ะ)
อ่านมาถึงตรงนี้หวังว่าน้อง ๆ จะเข้าใจและเห็นภาพมากขึ้นว่า BMAT คืออะไร บอกเลยว่าการสอบ BMAT ถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้น้อง ๆ สามารถติดหมอได้ตั้งแต่รอบแรก! และนอกจากเตรียมสอบ BMAT แล้ว อย่าลืมเตรียมสอบ IELTS ที่ต้องใช้ยื่นควบคู่กันด้วยนะคะ ถ้าคะแนนปังทั้งสองอย่าง รับรองว่าติดหมอรอบแรกแบบฉลุยแน่นอน!
หากน้อง ๆ คนไหนกำลังมองหาคอร์สติวหลักสูตรอินเตอร์ ไม่ว่าจะเป็น GED, IGCSE, IELTS, SAT ที่ The Advisor Academy มีคอร์สเรียนที่น้อง ๆ จะได้เรียนกับครูที่มีประสบการณ์สอนโดยตรง และมีความเชี่ยวชาญในข้อสอบหลักสูตรอินเตอร์โดยเฉพาะ ไม่เก่งภาษาอังกฤษ หรือไม่เคยเรียนหลักสูตรอเมริกันมาก่อน พี่ ๆ ก็พร้อมปูพื้นฐานและติวเข้มจนน้อง ๆ สอบผ่าน สนใจคอร์สเรียนติดต่อ The Advisor ได้เลยนะคะ