อยากติดหมอรอบแรก ห้ามพลาดบทความนี้! วันนี้พี่ ๆ ขอเอาใจว่าที่คุณหมอทุกคน ด้วยการพาไปทำความรู้จักกับ BMAT ข้อสอบเฉพาะทางสำหรับคนที่อยากเรียนต่อคณะแพทยศาสตร์ ใครอยากเรียนหมอแต่ยังสงสัยว่า BMAT คืออะไร จำเป็นต้องสอบไหม BMAT สอบอะไรบ้าง ไขข้อสงสัยไปพร้อม ๆ กันในบทความนี้ค่ะ
BMAT คืออะไร?
BioMedical Admissions Test หรือที่เรียกกันว่า BMAT คือ ข้อสอบเฉพาะทางสำหรับใช้เข้าศึกษาคณะแพทยศาสตร์ วิทยาศาสตร์การแพทย์ ทันตแพทยศาสตร์ หรือสาขาที่เกี่ยวข้อง จัดสอบโดย Cambridge Assessment ปัจจุบันมหาวิทยาลัยในไทยก็ได้เปิดรับนักศึกษาแพทย์โดยใช้คะแนน BMAT มากขึ้น เช่น แพทย์จุฬาฯ แพทย์ธรรมศาสตร์ แพทย์ลาดกระบัง แพทย์ขอนแก่น ทันตะฯ ธรรมศาสตร์ เป็นต้น
จำเป็นต้องสอบ BMAT ไหม?
BMAT ใช้ยื่นเข้าคณะแพทย์ ระบบ TCAS รอบที่ 1 หรือรอบ Portfolio ดังนั้นน้อง ๆ คนไหนอยากสอบติดแพทย์ตั้งแต่รอบแรก ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ภาคไทยหรือภาคอินเตอร์ จำเป็นต้องสอบ BMAT ค่ะ
BMAT สอบอะไรบ้าง?
ข้อสอบ BMAT ประกอบด้วย 3 พาร์ท ได้แก่
1. Aptitude and Skills
เป็นข้อสอบปรนัย 32 ข้อ ใช้เวลา 60 นาที โดยคำถามจะแบ่งออกเป็น 2 พาร์ทหลัก ๆ คือ
- Problem solving การแก้โจทย์โดยใช้ทักษะคณิตศาสตร์ มีทั้งแบบคิดเลขและไม่คิดเลข
- Critical thinking การใช้ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์เพื่อหาคำตอบ โดยโจทย์มักจะให้ข้อมูลมา แล้วให้เลือกชอยส์สนับสนุน (Strengthen) หรือหักล้าง (Weaken) ข้อมูลดังกล่าว หรืออาจจะถามในแบบอื่น ๆ เช่น ถามหาสรุป (Conclusion), หาจุดบกพร่อง (Flaw) เป็นต้น
ข้อสอบพาร์ทนี้น้อง ๆ ส่วนใหญ่มักบอกว่ายาก ทำไม่ทัน โดยพาร์ท Critical thinking เพราะข้อสอบค่อนข้างยาว ต้องอ่านวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อตอบคำถามภายใต้ความกดดันของเวลา พี่แนะนำให้น้อง ๆ เลี่ยงไปทำ Problem solving ก่อน เพราะเป็นโจทย์เชาวน์ปัญญา ซึ่งค่อนข้างง่ายกว่าค่ะ
2. Scientific Knowledge and Applications
ข้อสอบปรนัย 27 ข้อ ใช้เวลา 30 นาที เป็นส่วนที่วัดความสามารถในการประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ โดยเนื้อหาที่ออกสอบจะครอบคลุมทั้งฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา และคณิตศาสตร์ประมาณชั้นม.4 น้อง ๆ ที่เรียนสายวิทย์มาบอกเลยว่าสบาย เพราะระดับความยากง่ายใกล้เคียงกับ IGCSE และ GCSE ถ้าใครแม่นเนื้อหาแนะนำให้เก็บคะแนนที่พาร์ทนี้ได้เลยค่ะ
3. Writing Task
ข้อสอบวัดระดับภาษาอังกฤษและความสามารถในการจัดการความคิดและสื่อสารด้วยการเขียน น้อง ๆ ต้องเลือกเขียนตอบคำถาม 1 ข้อ จาก 3 ข้อที่ข้อสอบให้มา โดยเขียนในรูปแบบ Essay ภายในเวลา 30 นาที ซึ่งคำถามจะเกี่ยวกับกฎหมาย สังคมศาสตร์ ปรัชญา หรือจรรยาบรรณทางการแพทย์
การคิดคะแนน BMAT
พาร์ทที่ 1 และ 2 มีคะแนนเต็ม 9.0
พาร์ทที่ 3 มีผู้ตรวจ 2 คน แบ่งคะแนนเป็น 2 ส่วน คือ
1. คะแนนคุณภาพของเนื้อหา (1-5 คะแนน)
-
- 1 คะแนน หมายถึง เขียนด้วยเนื้อหาที่พอรับได้ แต่ยังตอบไม่ตรงประเด็น
- 2 คะแนน หมายถึง เขียนค่อนข้างตรงประเด็น แต่มีบางคำหรือบางจุดไม่ชัดเจน
- 3 คะแนน หมายถึง เขียนตอบตรงกับทุกมุมมองคำถาม สมเหตุสมผล แต่อาจพลาดเรื่องการเชื่อมโยงความคิด
- 4 คะแนน หมายถึง เขียนตรงประเด็น สร้างข้อโต้แย้งได้ดี เรียบเรียงเนื้อหาได้ดี มีข้อบกพร่องน้อย
- 5 คะแนน หมายถึง ไม่มีข้อบกพร่อง เนื้อหาตรงประเด็นชัดเจน เชื่อมโยงความคิดและข้อโต้แย้งอย่างมีเหตุผล สรุปเนื้อหาได้ดี
2. คะแนนด้านการใช้ภาษาอังกฤษ (A, C, E)
-
- BandA คือ ใช้ภาษาอังกฤษได้ดี โครงสร้างประโยคดี ไวยากรณ์ถูกต้อง สะกดคำถูกต้อง
- BandC คือ ใช้ภาษาอังกฤษระดับพอใช้ โครงสร้างประโยคง่าย ๆ ใช้ศัพท์ระดับกลาง ไม่ยากหรือง่ายเกินไป ไวยากรณ์เหมาะสม โดยรวมมีข้อผิดพลาดอยู่บ้าง
- BandE คือ ใช้ภาษาอังกฤษค่อนข้างอ่อน อ่านยาก ต้องอ่านหลายรอบถึงเข้าใจ ใช้ศัพท์ง่าย ๆ ไวยากรณ์ไม่ถูกต้อง สะกดคำผิด มีข้อผิดพลาดที่เห็นได้ชัดเจน
ค่าสอบ BMAT กี่บาท?
ค่าสอบ BMAT 2023 อยู่ที่ 9,500 บาท
คะแนน BMAT เก็บได้กี่ปี?
คะแนน BMAT สามารถเก็บไว้ใช้ได้ถึง 2 ปีเลยค่ะ นั่นหมายความว่า น้อง ๆ สามารถเริ่มสอบได้ตั้งแต่ม.4-ม.5 เพื่อลองดูข้อสอบก่อน ถ้าไม่พอใจคะแนนที่ได้ ก็สามารถสอบแก้ตัวได้ แต่ถ้าพอใจแล้วก็เก็บไว้ยื่นรอบ Portfolio ได้เลย
สอบ BMAT ได้กี่รอบ?
BMAT จัดสอบปีละ 1 รอบ ทำให้น้อง ๆ สามารถสอบได้แค่ปีละ 1 รอบเท่านั้น (เดิมการสอบ BMAT จะจัดสอบประมาณ 2 รอบต่อปี แต่ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา เหลือสอบปีละ 1 รอบค่ะ)
อ่านมาถึงตรงนี้หวังว่าน้อง ๆ จะเข้าใจและเห็นภาพมากขึ้นว่า BMAT คืออะไร บอกเลยว่าการสอบ BMAT ถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้น้อง ๆ สามารถติดหมอได้ตั้งแต่รอบแรก! และนอกจากเตรียมสอบ BMAT แล้ว อย่าลืมเตรียมสอบ IELTS ที่ต้องใช้ยื่นควบคู่กันด้วยนะคะ ถ้าคะแนนปังทั้งสองอย่าง รับรองว่าติดหมอรอบแรกแบบฉลุยแน่นอน!
หากน้อง ๆ คนไหนกำลังมองหาคอร์สติวหลักสูตรอินเตอร์ ไม่ว่าจะเป็น GED, IGCSE, IELTS, SAT ที่ The Advisor Academy มีคอร์สเรียนที่น้อง ๆ จะได้เรียนกับครูที่มีประสบการณ์สอนโดยตรง และมีความเชี่ยวชาญในข้อสอบหลักสูตรอินเตอร์โดยเฉพาะ ไม่เก่งภาษาอังกฤษ หรือไม่เคยเรียนหลักสูตรอเมริกันมาก่อน พี่ ๆ ก็พร้อมปูพื้นฐานและติวเข้มจนน้อง ๆ สอบผ่าน สนใจคอร์สเรียนติดต่อ The Advisor ได้เลยนะคะ