จะไปเรียนต่อจีน ควรเลือกมหาลัยไหนดี ใช้คะแนนอะไรยื่นบ้าง

นอกจากการไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ ประเทศอเมริกา น้อง ๆ คงจะพอรู้กันมาบ้างแล้ว ว่าประเทศจีนเอง ก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้รับความนิยม ในการไปเรียนต่ออย่างมากเลยทีเดียว เพราะประเทศจีนก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่คุณภาพในด้านของการศึกษาพัฒนาอย่างรวดเร็ว ซึ่งในปัจจุบันก็ถือเป็นประเทศที่คุณภาพด้านการศึกษาจัดอยู่ในระดับแนวหน้าของโลก และมีหลักสูตรอินเตอร์ที่สามารถใช้คะแนน SAT รวมถึงคะแนนวัดระดับภาษาอังกฤษยื่นได้เช่นเดียวกัน เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับน้อง ๆ ที่สนใจอยากจะไปเรียนต่อจีน วันนี้พี่ Advisor ได้นำเอาข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนต่อที่ประเทศจีน นำเอามาฝากน้อง ๆ รับประกันเลยว่า บทความนี้จะทำให้น้อง ๆ เข้าใจเรื่องการเรียนต่อที่จีนแบบครบ จบ ในบทความเดียว

อยากไปเรียนต่อจีน เลือกมหาลัยไหนดี

น้อง ๆ ที่กำลังสงสัยว่าจะเลือกเรียนต่อจีน มหาลัยไหนดี หรือจะเลือกเรียนต่อจีน คณะอะไรดี เพื่อเป็นแนวทางสำหรับน้อง ๆ พี่ Advisor ก็ได้นำเอาตัวอย่างมหาลัยและคณะที่น่าสนใจของประเทศจีน มาฝากน้อง ๆ ด้วย น้อง ๆ สามารถนำเอามหาวิทยาลัยและคณะเหล่านี้ ไปประกอบการตัดสินใจ เลือกวางแผนอนาคตได้เลย

  1. Peking University สาขาวิชาที่น่าเรียน ได้แก่ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์, การศึกษาและวิทยาศาสตร์การแพทย์, ภาษาศาสตร์และวิทยาการจัดการ, วิศวกรรมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ประยุกต์
  2. Zhejiang University สาขาวิชาที่น่าเรียน ได้แก่ วิชาด้านเศรษฐศาสตร์และการจัดการ
  3. Nanjing University สาขาวิชาที่น่าเรียน ได้แก่ อักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์

คะแนนที่ใช้ยื่นเรียนต่อจีน มีอะไรบ้าง

อย่างที่พี่ Advisor ได้บอกน้อง ๆ ไปตั้งแต่ในตอนต้นของบทความว่า การจะไปเรียนต่อจีนน้อง ๆ สามารถนำเอาคะแนนวัดระดับภาษาอังกฤษยื่นได้ โดยคะแนนที่สามารถใช้ยื่นได้มีดังนี้

HSK 

HSK คือการสอบวัดระดับความสามารถในภาษาจีน จะเป็นการทดสอบสำหรับผู้ที่อาจไม่ได้ใช้ภาษาจีนเป็นภาษาแม่ ซึ่งจะมีการสอบข้อเขียนเป็น 1-6 ระดับ โดยส่วนมากแล้วมักจะกำหนดที่ระดับ HSK3 หรือHSK4 แต่มหาวิทยาลัยบางแห่งก็อาจไม่จำเป็นต้องใช้ อาจใช้คะแนนอื่น ๆ ยื่นแทนได้

SAT 

สำหรับน้อง ๆ ที่สนใจอยากเรียนต่อในต่างประเทศ น่าจะรู้จักการสอบ SAT กันดีอยู่แล้ว เพราะการสอบ SAT เป็นการสอบสำหรับผู้ที่สนใจอยากศึกษาต่อในคณะอินเตอร์ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย และผู้ที่สนใจเรียนต่อมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ โดยการสอบ SAT จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน ได้แก่

  1. SAT Reading and Writing จำนวน 54 ข้อ ระยะเวลาสอบ 1 ชั่วโมง 4 นาที โดยแบ่งข้อสอบย่อยเป็น 2 Module
    • Moduleที่ 1 จำนวนข้อสอบ 27 ข้อ เวลาสอบ 32 นาที
    • Moduleที่ 2 จำนวนข้อสอบ 27 ข้อ เวลาสอบ 32 นาที

  2. SAT Math มีข้อสอบ 44 ข้อ ระยะเวลาสอบ 1 ชั่วโมง 10 นาที โดยแบ่งข้อสอบย่อยเป็น 2 Module
    • Moduleที่ 1 จำนวนข้อสอบ 22 ข้อ เวลาสอบ 35 นาที
    • Moduleที่ 2 จำนวนข้อสอบ 22 ข้อ เวลาสอบ 35 นาที

TOEFL

การสอบ TOEFL เป็นการสอบวัดระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษ ที่จะมีการสอบวัดทักษะ 4 ด้านด้วยกัน ได้แก่ ทักษะด้านการฟัง, ทักษะด้านการอ่าน, ทักษะด้านการเขียน และทักษะด้านการพูด ซึ่งในการสอบนั้นจะเลือกสอบวัดระดับทั้ง 4 ด้าน หรือจะเลือกสอบบางทักษะก็ได้ ขึ้นอยู่กับประเภทของการสอบ แน่นอนว่าคะแนนสอบเองก็จะต่างกันออกไปด้วย

IELTS

อีกหนึ่งคะแนนสอบที่สามารถนำเอาไปยื่น เพื่อเข้าเรียนต่อจีนได้ คือคะแนนสอบ IELTS โดยการสอบ IELTS จะเป็นการทดสอบทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ ที่มีการสอบวัดทักษะด้านการฟัง, ทักษะด้านการอ่าน, ทักษะด้านการเขียน และทักษะด้านการพูด 4 ทักษะเช่นเดียวกัน 

เรียนต่อจีน

 

ขั้นตอนการสมัครเรียนต่อจีน

เพื่อให้น้อง ๆ ที่สนใจจะไปเรียนต่อที่ประเทศจีน เตรียมตัวเอาไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ นี่คือขั้นตอนการสมัครเรียนต่อประเทศจีน ที่พี่ Advisor นำเอามาฝากสำหรับน้อง ๆ ที่สนใจโดยเฉพาะ

หาคอร์สติวก่อนสอบวัดระดับภาษา

ก่อนอื่นเลย เพื่อให้น้อง ๆ สอบวัดระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษได้คะแนนสูง เพียงพอสำหรับการนำเอาไปยื่นในมหาลัยชั้นนำของประเทศจีน พี่ Advisor แนะนำให้น้อง ๆ หาคอร์ส ติว IELTS หรือคอร์ส ติว SAT ก่อนสอบ โดยน้อง ๆ สามารถสอบถามคอร์สติวที่ The Adviser Academy ได้ ที่โรงเรียนกวดวิชาของเรา เป็นโรงเรียนกวดวิชาที่เน้นติวเข้ม เน้นให้น้อง ๆ เข้าใจ และทำข้อสอบได้จริง แต่รับประกันว่าที่นี่เรียนไม่กดดัน บรรยากาศเป็นกันเอง น้อง ๆ ชอบแน่นอน

เตรียมเอกสารข้อมูลส่วนตัว

เมื่อเตรียมความพร้อมในเรื่องของการสอบเรียบร้อยแล้ว ขั้นต่อไปคือการเตรียมเอกสารข้อมูลส่วนตัว เพื่อใช้ในการสมัครเรียนกับมหาวิทยาลัย โดยเอกสารเรียนต่อจีนจะเป็นไปตามที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนด เช่น วุฒิการศึกษาระดับมัธยมปลาย, คะแนนสอบต่าง ๆ ที่จะใช้ยื่น เป็นต้น

ปรึกษาเอเจนซี่เรียนต่อจีน

เพื่อให้น้อง ๆ ไม่พลาดโอกาสในการไปเรียนต่อที่ประเทศจีน น้อง ๆ สามารถปรึกษากับเอเจนซี่ในเรื่องของการเรียนต่อได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของขั้นตอน เรื่องของทุนการศึกษา หรือเรื่องที่ควรจะต้องเตรียมพร้อมให้ดี ก่อนที่จะยื่นใบสมัคร

กรอกใบสมัครเรียนต่อจีน

กรอกใบสมัครไปยังมหาวิทยาลัยที่น้อง ๆ เลือกเอาไว้ และอย่างที่พี่ Advisor ได้บอกไปว่า เพื่อให้น้อง ๆ ไม่พลาดโอกาสในการไปเรียนต่อ ขอแนะนำว่าให้น้อง ๆ ปรึกษากับเอเจนซี่ทุกขั้นตอน แล้วการสมัครเรียนของน้อง ๆ จะเป็นเรื่องที่ง่ายมากขึ้น

รอผลการพิจารณาจากทางมหาลัย

เมื่อกรอกใบสมัครส่งเอกสารเรียบร้อยทั้งหมดแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็เพียงรอให้มหาวิทยาลัยทางนั้นแจ้งผลการสมัคร

ยื่นขอวีซ่านักเรียนไปเรียนต่อจีน

หากน้อง ๆ สมัครเรียนต่อจีนเรียบร้อยแล้ว การจะยื่นขอวีซ่านักเรียน น้อง ๆ จะต้องนำเอาใบตอบรับจากสถานศึกษา หรือมหาวิทยาลัยในประเทศจีน นำเอามาใช้เพื่อขอวีซ่า ในขั้นตอนนี้น้อง ๆ จะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนที่เว็บไซต์สถานทูตจีนกำหนดให้ครบ

เรียนต่อจีน มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่

เรียนต่อจีน ค่าใช้จ่ายในการไปเรียนต่อระดับปริญญาตรี จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยที่น้อง ๆ เลือกสมัคร แต่โดยทั่วไปแล้วค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 50,000 หยวน หรืออยู่ที่ประมาณ 245,000 บาทต่อปี แต่ก็อาจจะมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพิ่มเติมได้  

 

เรียนต่อจีน

 

สรุปเกี่ยวกับการเรียนต่อที่ประเทศจีน

การเรียนต่อที่ประเทศจีน ถือเป็นอีกทางเลือกสำหรับน้องที่อยากหาประสบการณ์เพื่อศึกษาต่อในต่างประเทศ โดยที่จีนมีมหาวิทยาลัยระดับชั้นนำมากมาย ที่พร้อมถ่ายทอดวิชาอย่างเต็มที่ เพียงแค่น้อง ๆ เตรียมตัวด้วยผลสอบทางภาษา ความถนัดเฉพาะด้าน และรายละเอียดอื่น ๆ ที่พี่ Adviser ได้แนะนำไป หวังว่าข้อมูลทั้งหมดนี้จะช่วยให้น้อง ๆ วางแผนอนาคตได้ง่ายมากขึ้น สามารถติดต่อสอบถามกับทาง The Adviser Academy ได้เลยนะคะ